Tuesday, June 28, 2005

วันเกิด

(บทความนี้ไม่ได้ต้องการให้เศร้า แต่เขียนขึ้นจากความประทับใจ)





28 มิ.ย. ของทุกปีเป็นวันเกิดพ่อ ถ้าพ่อยังอยู่ พ่อคงมีอายุครบ 54 ปี แต่พ่อก็จากไปตั้งแต่พ่อเพิ่งมีอายุได้ 46 ปี ซึ่งนับว่าจากไปตั้งแต่อายุยังน้อยอยู่ ตอนที่พ่อจากพวกเราไป ผมเพิ่งอายุได้ 16 ปี ยังเรียนอยู่ Form 4 (เทียบได้กับมัธยมศึกษาปีที่สี่) ที่ประเทศ New Zealand ช่วงนั้นถือเป็นความสูญเสียและจุดหักเหครั้งใหญ่ในชีวิตของพวกเรา (แม่และผม) เลยก็ว่าได้
ผมไม่ค่อยได้ใช้เวลาอยู่กับพ่อมากเท่าที่ควร พ่อทำงานธนาคาร ซึ่งหมายความว่าพ่อจะต้องเดินทางไปทำงานตามจังหวัดต่างๆ อยู่เสมอ ประกอบกับผมใช้ชีวิตอยู่ในรั้ว ร.ร. ประจำตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้ผมได้พบพ่อเพียงวันหยุดสุดสัปดาห์แบบอาทิตย์เว้นอาทิตย์ หรือไม่ก็เป็นช่วงปิดเทอม ช่วงที่ผมเรียนชั้นประถมนั้น พ่อทำงานอยู่ที่เชียงใหม่ ทำให้พ่อกับผมไม่สามารถพบกันได้ทุกวันหยุด อย่างไรก็ดีทุกๆ วันหยุดที่พ่อว่าง พ่อก็จะพยายามมาพบผมให้ได้ และช่วงปิดเทอมผมก็จะไปอยู่กับพ่อที่เชียงใหม่

จนกระทั่งผมมีอายุได้11 ขวบพ่อย้ายจากเชียงใหม่กลับมาทำงานที่นครสวรรค์ซึ่งถือว่าเป็นบ้านของเรา (แม้ผมจะเกิดที่กรุงเทพฯ และอยู่ที่กรุงเทพฯ มาตั้งแต่อายุ 7 ขวบผมก็ไม่เคยนึกว่าตัวเองเป็นคนกรุงเทพฯ เลย) ช่วงเวลานี้ผมได้มีโอกาสใกล้ชิดกับพ่อมากขึ้นกว่าเดิม ทุกครั้งที่ผมกลับบ้าน เราจะใช้เวลาด้วยกัน โดยเฉพาะกับการเล่นกอล์ฟด้วยกัน เราจะเล่นกอล์ฟที่สนามกอล์ฟประจำจังหวัด หรือไม่หากมีเวลา เราก็จะไปเล่นกอล์ฟที่สนามแถวๆ ชลบุรีหรือหัวหิน ซึ่งนับเป็นการท่องเที่ยวไปในตัวด้วย


เราสามคน (พ่อแม่และผม) จะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดทุกครั้งที่มีโอกาส ซึ่งส่วนใหญ่จะขึ้นกับเวลาว่างของพ่อและวันหยุดของผม พ่อเป็นคนขับ แม่นั่งข้างๆ คอยเป็นเพื่อนคุยไปกับพ่อ ส่วนผมจะนั่งอยู่เบาะหลัง จะชะโงกหน้ามาคุยกับพ่อและแม่เป็นครั้งคราว หรือไม่ก็จะนั่งหลับไปกับเสียงเพลงเอลวิส เพรสลี่ย์ ที่คลอมาเบาๆ บนเครื่องเล่นเทป (รุ่นเก่า) ประจำรถเรา พ่อชอบเล่าเรื่องโน่นเรื่องนี่ให้ผมฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความหลังหรือเกร็ดความรู้ต่างๆ เรื่องที่พ่อเล่ามักจะแฝงด้วยข้อคิดต่างๆ ไว้ให้ผมได้ขบคิดและตระหนักอยู่เสมอ
ถ้าผมนึกถึงผู้ชายคนนึงที่สามารถเป็นแบบอย่างให้กับคนทั่วไปถึงความจริงจังในเรื่องงาน ผมจะนึกถึงพ่อเป็นคนแรก พ่อจะจริงจังกับงานมาก แต่พ่อมีข้อดีคือพ่อสามารถแยกเวลางานและเวลาครอบครัออกจากกัน เวลาที่พ่ออยู่กับแม่และผม พ่อไม่เคยเอาเรื่องงานเข้ามาเกี่ยวข้องเลย แม้พ่ออาจจะมีงานที่ต้องทำในยามค่ำคืนบ้างแต่มันก็เหมือนกับเวลาทำการบ้านที่เรามีครั้งที่เรายังเยาว์วัย ความจริงจังในเรื่องงานของพ่อเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่เพื่อนร่วมงานและลูกน้องใต้บังคับบัญชาของพ่อ คนที่ไม่เข้าใจถึงความตั้งใจจริงมักจะบ่นว่าพ่อดุ ซึ่งตรงนี้แม้ผมจะได้ยินมาบ้างแต่ผมก็ไม่ได้ติดใจเอาความแต่อย่างใด เหตุเพราะความคิดของคนเรานั้นแตกต่างกันออกไป ความจริงจังของพ่อสะท้อนออกมาในชีวิตนอกเวลางาน พ่อเป็นคนที่จริงจังและตั้งใจจริง รวมทั้งมุ่งมั่นในสิ่งที่พ่อกำลังกระทำอยู่ทุกอย่าง แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อย พฤติกรรมเหล่านี้ก็ได้ติดตัวผมมาเมื่อผมโตขึ้น


พ่อส่งผมไปเรียนที่ประเทศ New Zealand เมื่อตอนผมจบชั้นมัธยมปีที่สาม ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากให้ผมได้รู้จักสู้ชีวิต เหมือนตอนที่พ่อเคยออกจากบ้านที่ อ. หล่มสัก จ. เพชรบูรณ์ มาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ เมื่ออายุได้ 15 ปี และเหตุผลที่สำคัญอีกประการคือเรื่องภาษา เนื่องจากพ่อตระหนักถึงความสำคัญของภาษาอังกฤษว่าจะมีบทบาทที่สำคัญต่อชีวิตการทำงานของผมในอนาคต พ่อบอกผมซึ่งผมจำได้ไม่รู้ลืมเลยว่า การส่งผมไปเรียนครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการส่งไปเรียนธรรมดาแต่ให้ถือเสียว่าเป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างพ่อและผม ทุกบาททุกสตางค์ที่ส่งผม สักวันหนึ่งมันก็จะกลายเป็นของผม ดังนั้นขณะที่ผมเดินทางไปเรียน ถือได้ว่าเป็นการเอาเงินที่ผมจะได้รับนั้นมาลงทุน ผลกำไรที่ได้กลับมาคือความรู้ที่สามารถนำไปใช้ในอนาคตไม่ว่าจะเข้าทำงานในสาขาชาชีพใดก็ตาม ผลที่ได้รับจากคสอนของพ่อในวันนั้นคือ ตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ประเทศ New Zealand และสี่ปีที่มหาวิทยาลัยในเมืองไทย ผมเรียนอย่างลืมตาย


ระหว่างที่ผมเรียนอยู่ที่นั่น ผมพบพ่อเพียงแค่สองครั้ง คือ ช่วงที่พ่อ แม่ คุณตา และคุณยาย มาเยี่ยมผม ซึ่งผมได้ทำหน้าที่ต้อนรับอย่างดี และช่วงปิดเทอมที่ผมได้มีโอกาสกลับบ้าน การพูดคุยกับพ่อในสองครั้งหลังเปลี่ยนไปจากเก่าก่อนมาก เราได้ถกปัยหากันในประเด็นที่กว้างมากขึ้น โดยเกี่ยวข้องกับเหตุบ้านการเมือง รวมถึงกีฬาซึ่งเป็นสิ่งของโปรดของผู้ชาย (ทุกวันนี้ผมยังเชื่ออยู่เสมอว่าพ่อเชียร์สเปอร์สไม่ได้เชียร์แมนฯ ยูฯ) ผมมีความสุขที่ได้รู้จักพ่อมากขึ้นโดยไม่ทันได้ฉุกคิดเลยว่าการร่ำลากับพ่อที่สนามบินดอนเมืองก่อนที่จะกลับมาเรียนในปีที่สองที่ New Zealand จะเป็นภาพสุดท้ายที่ผมได้เห็นพ่อ
พ่อจากเราไปแล้วหลายปี แต่ทุกๆ วันเกิดพ่อผมมักจะนึกถึงพ่อ นึกถึงมากกว่าวันที่พ่อเสียเสียอีกเพราะมันเป็นวันที่เคยมีความสุข เคยได้อยู่ฉลองวันเกิดกันพร้อมหน้าพร้อมตากัน แม้ว่าพ่อจะไม่ใช่คนโด่งดัง มีชื่อเสียง ร่ำรวย หรืออะไรก็ตามแต่ แต่พ่อก็ได้ปลุกจิตสำนึกให้เด็กผู้ชายคนหนึ่งได้เติบโตขึ้นมาพร้อมกับความตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำอะไรคืนให้กลับสังคมต่อไป อย่างไรก้แล้วแต่ พ่อก็ยังเป็นวีรบุรุษของผมต่อไป

สุขสันต์วันเกิดครับพ่อ

HK
28 มิ.ย. 48

6 Comments:

Anonymous Anonymous said...

สุขสันต์วันเกิดพ่อด้วยครับ

มึงเล่าเรื่องมึงอยู่ต่างจังหวัด ก็จำได้ว่ะว่ารู้เรื่องนี้มา่่ก่อนสมัยอยู่เด็กเล็กสาม

พอได้ยินเรื่องนี้แล้ว ก็คิดไ้ด้ว่า จริงๆ กูกับมึงก็ไม่ได้ห่างไกลกันเลย เราคงใกล้ชิดกันสมัยอยู่เด็กเล็กสาม ไม่อย่างนั้นกูจะรู้ไ้ด้อย่างไรว่ามึงอยู่นครสวรรค์

เขียนได้กินใจมาก นี่ไง ทุกคนมีวีรบุรุษอยุ่ในใจของตัวเอง

ถ้าหากพ่อมึงรับรู้ได้คงยิ้มอยู่แน่ เพราะขณะนี้ลูกชายของพ่อก็ทำให้่พ่อภาคภูมิใจได้ แถมยังมีเสห่น์แรงจนทั้งสาวๆ และหนุ่มๆ หลงรักกันไปชุลมุนวุ่นวาย

ขอให้เขียนต่อเรื่อยๆ ให้เพื่อนๆ อ่านกันนะ สนุกดี

8:53 AM  
Blogger Lex Luthor said...

เขียนดีมาก กูก็ไม่ค่อยได้อยู่กับพ่อเหมือนกัน กูเชื่อว่าท่านเห็นความสำเร็จของมึงและภูมิใจในตัวมึงมากๆแน่นอน

5:49 PM  
Anonymous Anonymous said...

ซึ้งมากเลย...พี่ชาย อ่านแล้วเห็นภาพในอดีตอีกครั้งเลย

9:24 PM  
Anonymous Anonymous said...

สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังน่ะคะ..ลุงหมี

9:26 PM  
Blogger kasab71 said...

เชื่อหรือเปล่า กูอ่านเรื่องของมึงแล้ว ขนลุกเลยว่ะ ได้อารมณ์มากเลย

ถ้าพ่อมึงยังอยู่คงภูมิใจกับความเก่งกาจของลูกชาย ที่ตอนนี้มีความสามารถมากๆ

เรื่องเสน่ห์ของมึงก็หล่นไม่ไกลต้นเลย ไม่งั้นจะเป็นแอนดริวเหรอ

สุขสันต์วันเกิดนะครับ คุณพ่อ

1:07 AM  
Anonymous Anonymous said...

ยินดีที่ได้อ่านบล็อกที่ออกมากจากก้นบึ้งของหัวใจลูกของพ่อนี้ครับ บางครั้งคนเรารู้จักกันแค่ที่เปลือก พอได้อ่านบทความนี้แล้วรู้สึกว่าได้รู้จักผู้เขียนในแง่มุมที่ อาจ มองจากภายนอกไม่ได้เลยครับ

ยินดีที่ได้รู้จักบล็อกนี้

กต. guy

4:05 AM  

Post a Comment

<< Home