Tuesday, February 03, 2009

Sleepless Night

กลับมาแล้วอีกครั้ง หลังจากหายไปนาน การนอนไม่หลับเป็นเหตุให้สมองต้องมานั่งคิดโน่นคิดนี่ตลอดเวลา อย่ากระนั้นเลย ใช้เวลาลองมานั่งทบทวนกันดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงเวลาประมาณสามปีที่หายไปจากพื้นที่ตรงนี้

ครั้งสุดท้ายที่ผมได้มาละเลงถ้อยคำต่างๆ ในบล็อกนี้ก็ตั้งแต่วัดตรุษอีดของปี 2548 ซึ่งอยู่ประมาณช่วงเดือนตุลาคม อันเป็นระยะเวลานานพอสมควร และเป็นการเขียนบทความที่ค้างไว้โดยไม่ต่อให้จบด้วย ซึ่งหากใครได้มาอ่านตรงนี้ก็ขอทำความเข้าใจไว้เลยนะครับว่าผมจะไม่เขียนต่อให้จบแน่นอน ปล่อยให้ตัวอักษรเหล่านั้นได้ประจานถึงความเป็นคนที่ทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ต่อไปละกันครับ (แฮ่ม)

กว่าสามปีทีผ่านมาเกิดไรขึ้นกับชีวิตผมบ้าง.....

แน่นอน การเปลี่ยนแปลงย่อมเป็นนิรันดร์ เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกับชีวิตผมหลายอย่าง นำมาซึ่งความรับผิดชอบที่ผมต้องรับไว้ อย่างแรกคือผมต้องแปลงสถานภาพจากเด็กหนุ่มที่อาศัยอยู่ในตะวันออกกลางกลับมาสู่อ้อมอกของมาตุภูมิอีกครั้ง ประสบการณ์ที่ได้รับในดินแดนตะวันออกกลางได้สอนอะไรผมหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องงาน และการใช้ชีวิต สอนให้ผมได้รู้จักว่าชีวิตความเป็นจริงมันแตกต่างจากโลกในทัศนคติที่ผมคิดว่ามันอาจจะมีอยู่จริงในช่วงที่ผมยังเป็นนักศึกษาอยู่ ซึ่งก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าคำขอบคุณกับประสบการณ์ทั้งดีและร้ายที่ได้รับ อย่างน้อยๆ ผลที่ได้รับจากการอาศัยอยู่ที่ประเทศกาตาร์กว่าสองปีของผมก็ค่อนข้างเป็นไปในทางบวก

ย้อนกลับมาดูชีวิตผมตอนนี้ละกัน ชีวิตการงานในปัจจุบันผมค่อนข้างมีความมั่นคงและผมก็รู้สึกสนุกกับมัน ผมได้กลับมาอยู่กับครอบครัวอีกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ใฝ่หามานาน นับตั้งแต่เดินทางออกจากบ้านมาอาศัยอยู่ในโลกภายนอกตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ ได้พบปะเพื่อนฝูงเดิมๆ ที่คุ้นเคยมาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ ขณะที่ชีวิตส่วนตัวก็มีความยุ่งเหยิง แต่มันก็คือรสชาติของชีวิต

ผมคิดไว้เสมอว่าถ้ามีโอกาสผมจะกลับมาที่พื้นที่ตรงนี้อีก ผมบอกตัวเองไว้ช่วงที่ผมหายไปว่าหากทุกอย่างมันเริ่มที่จะคงที่ผมก็อยากที่จะกลับมาเขียนบล็อกของผมนี้อีก และวันนี้ผมก็ได้กลับมาพร้อมละเลงตัวอักษรลงบนหน้าบล็อกอันนี้อีกครั้ง ยินดีต้อนรับตัวเองกลับสู่ที่เดิม และหวังว่าต่อจากนี้ไป คงจะมีเรื่องราวดีๆ ให้ผมได้มาเขียนไว้ ณ ที่นี้อีกครั้ง

Friday, November 04, 2005

Eid Mubarak (1)

Eid Mubarak

ถึง เพื่อนๆ ที่รัก
ก่อนอื่นต้องขอกล่าวคำว่า Eid Mubarak ซึ่งมีความหมายว่า สุขสันต์เนื่องในวันอีด เพื่อนๆ อาจจะงงว่าวันอีดคือวันอะไร ก่อนอื่นต้องขออฅธิบายให้เพื่อนๆ ฟังก่อนว่าวันอีด หรือ Eid แบ่งออกได้เป็นสองช่วง คือ Eid Al Fitr ซึ่งคือวันเฉลิมฉลองสิ้นสุดเทศกาลการถือศีลอด และ Eid Al Adha ซึ่งคือวันเฉลิมฉลองให้แก่ชาวมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งวันอีดนี้ถือเป็นวันสำคัญของชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ทั่วโลกยิ่งนัก และสำคัญยิ่งกว่าวันปีใหม่ (ทั้งของสากลและของอิสลามเสียอีก) ในวันอีดนี้ ชาวมุสลิมจะตื่นกันตั้งแต่เช้า โดยจะมีดการเตรียมอาหาร ขนมต่างๆ เพื่อจัดเลี้ยง ก่อนที่จะเดินทางไปที่มัสยิดเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา บางที่อาจจะมีการรวมตัวกันที่ลานใหญ่เพื่อประกอบพิธีกรรมร่วมกัน ซึ่งแม้แต่กษัตริย์ก็จะมาร่วมสวดมนต์กับประชาชนทั่วไป จากที่ฉันมาอยู่ที่ประเทศนี้เป็นเวลากว่าสองปี ฉันค่อนข้างจะชื่นชมต่อ Commitment ที่เขามีต่อศาสนาเขายิ่งนัก ฉันคุยกับคนเหล่านี้พบว่า เขาสามารถที่จะตอบหรืออธิบายเกี่ยวกับหลักศาสนาและคำสอนของศาสดาได้อย่างชนิดที่ว่ารู้ลึกและรู้จริง ซึ่งทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องการศึกษาทางศาสนาควรปลูกฝังให้ประชาชนไทยได้ศึกษาเกี่ยวกับศาสนาที่ตนนับถืออยู่อย่างถ่องแท้เสียที ไม่ใช่ว่า ปากบอกเป็นพุทธ ไม่สามารถตอบคำถามต่างๆ เกี่ยวกับศาสนาได้ กลับเข้าเรื่องกันใหม่ หลังจากสวดแล้ว ก็จะออกเดินทางไปยังบ้านเพื่อนหรือคนรู้จักต่างๆ เพื่อร่วมเฉลิมฉลอง บางพวกอาจจะมีการออกไปเที่ยวกับครอบครัวยังต่าง จังหวัด

วันอีดปีนี้ในกาตาร์ตรงกับวันที่ 3 พฤศจิกายน (อ้อ ลืมบอกไปการกำหนดวันอีดนั้น เขาจะดูจากพระจันทร์นะ) สำหรับฉันในปีนี้นั้นค่อนข้างจะมีเวลาว่างพอสมควร เนื่องจากมีวันหยุดถึง 4 วัน ซึ่งแน่นอนฉันก็ต้องนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบตามปกติ แต่หลังจากที่ได้คุยกับ “ท่อก” เกี่ยวกับเรื่องการเตรียมการสอบ ก่อนที่จะจบการสนทนาของเราสองคน ท่อกบอกกับฉันว่า อย่าลืมไปหาเหล้ากินบ้าง (ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดนี้จะหลุดจากปากกะท่อกเลยเนอะ ว่ามั้ย) ฉันเก็บคำพูดนี้มาทำตาม เพียงแต่ไม่ได้ออกไปกินเหล้าเท่านั้นแหละ ฉันได้จัดแจงนัดหมายกับเพื่อนของฉันที่นี่สองคนว่าเราควรจะออกจากกรุงโดฮาไปสำรวจสถานที่ต่างๆ ในกาตาร์กันบ้าง และจุดมุ่งหมายของพวกเราในคราวนี้คือเหนือสุดของประเทศกาตาร์ ผู้ร่วมเดินทางกันไปในครั้งนี้ก็มีฉัน พี่ออง ซึ่งเป็นคนไทยที่เป็นวิศวกรอยู่บริษัทขุดเจาะน้ำมันชื่อดังของโลกแห่งหนึ่งที่มีสาขาในกาตาร์ เกด เพื่อนสาว (ที่มีอยู่ไม่กี่คน) ประจำกลุ่ม ทำงานอยู่สายการบินกาตาร์ และเพิ่มมาอีกคนคือ ไอมัน เพื่อนร่วมงานชาวอียิปต์ของพี่อองที่เพิ่งรู้จักกันแต่สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว

เราออกเดินทางประมาณเที่ยงวันของวันที่ 3 พฤศจิกายน ด้วยข้อจำกัดหลายๆ อย่าง เราตัดสินใจที่จะไปเที่ยงเย็นกลับ โดยอุปกรณ์ที่เราขาดไม่ได้สำหรับการเดินทางในครั้งนี้เลย คือ กล้องถ่ายรูป พี่อองเป็นคนที่บ้ากล้องมาก และฉันก็ถือว่าเขาเป็นครูสอนเรื่องกล้องคนแรกของฉันเอง พวกเราค่อนข้างจะตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งนี้พอสมควร เนื่องจากการที่เราอยู่กาตาร์กันมาเป็นระยะเวลานานพอสมควรและได้เดินทางไปตามที่ต่างๆ เราก็รู้ว่าทางทิศใต้ของกาตาร์ติดกับชายแดนซาอุดิอาระเบีย (ซึ่งฉันก็เกือบจะโดนจับเนื่องจากตำรวจคิดว่าฉันจะหนีออกนอกประเทศ) ทางทิศตะวันออกนั้น แน่นอนก็คือกรุงโดฮา และหากเลาะชายฝั่งทางทิศตะวันออกและตะวันตกไปทางเหนือก็จะเจอเมืองอุตสาหกรรม Ras Laffan (Ras Laffan Industrial City) ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีโครงการด้านการผลิตก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก และโครงการด้านพลังงานอื่นๆ ที่สำคัญอีกหลายโครงการ (ไว้วันหลังจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เพราะเวลาคุยเรื่องน้ำมันหรือผลิตภัณฑ์พลังงานของที่นี่ทีไรอดน้อยใจกับราคาน้ำมันบ้านเราไม่ได้) และหากไปทางทิศใต้ก็จะเจอ Sand Dune ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดในกาตาร์ และกำลังจะได้รับการเสนอชื่อให้เป็นหนึ่งในมรดกโลก ส่วนทางด้านทิศตะวันตกของกาตาร์นั้นติดกับทะเล มีเมืองสำคัญชื่อว่า Dukhan และมีโรงงานต่างๆ มากมาย รวมถึงยังเป็นบ่อน้ำมันในทะเล (Off Shore) อีกด้วย

เนื้อที่หมดพอดี ยังไม่ได้เริ่มเดินทางกันเลย มัวแต่โม้ออกนอกเรื่องมากไปหน่อยเลยยังไม่ได้เริ่มอะไรเลย เอาไว้ฉันจะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับการเดินทางเต็มๆ ในฉบับต่อไปนะ แล้วไว้เจอกัน

Huakee
4 พ.ย. 48







Sand Dune ที่เมือง Meisaeed ทางตอนใต้ของกรุงโดฮา













บริเวณในเขตอุตสาหกรรมที่เมือง Ras Laffan จะเป็นโรงงาน และที่เห็นส้มๆ นั่นคือท่อส่งก๊าซ เสียดายที่วันนั้นลมแรงไปนิด เลยภาพไม่ชัด













Rock Formation บริเวณทางไปทิศตะวันตก เกิดจากการรวมตัวกันของหินดินทรายต่างๆ ที่ถูดพัดมา














สุดเขตแดนตะวันตกที่เมือง Dukhan















บริเวณที่เชื่อมต่อกับชายแดนซาอุฯ ที่เห็นคือด่าน ตรวจคนออกเมือง


Wednesday, November 02, 2005

เกียรติของคน ต้องขุดเอง


ผมเพิ่งได้มีโอกาสดูภาพยนตร์เรื่อง "มหาลัยเหมืองแร่" จากแผ่นวีซีดีที่ส่งมาจากเมืองไทย นับว่าเป็นหนึ่งในหนังที่ผมรอชมมากที่สุดในปีนี้ (นอกเหนือจาก Star Wars Episode III ) ด้วยเหตุผลสองประการ คือ ผมประทับใจเรื่องนี้เมื่อครั้งได้อ่านหนังสือที่เขียนโดยศิลปินแห่งชาติ คุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ และสอง ผมยังจำความรู้สึกที่ผมน้ำตาไหลด้วยความประทับใจในฉากสุดท้ายของหนังเรื่อง " 15 ค่ำ เดือน 11" ที่กำกับโดยคุณจิระ มะลิกุล ได้ดี ดังนั้นความคาดหวังที่ผมมีต่อเรื่องหมาลัยเหมืองแร่นั้นมีอยู่ในระดับปานกลาง เนื่องจากผมไม่คิดที่จะตั้งความคาดหวังไว้สูงกับหนังที่ดัดแปลงมาจากนิยายที่นับได้ว่าเป็นหนึ่งในผลงานชั้นเยี่ยมของวงการวรรณกรรมไทย เพราะจะต้องมีการดัดแปลง ปรับเปลี่ยน และผิดเพี้ยนไปจากจินตนาการเมื่อครั้งผมยังอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่ไม่มากก็น้อย

หนังสือรวมเรื่องสั้นชุดเหมืองแร่ประกอบไปด้วยเรื่องสั้นจบในตอนจำนวน 142 เรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับในชีวิตแหมืองแร่กระโสมทิน เดรด จังหวัดพังงา ผ่านมุมมองของเด็กหนุ่มที่ถูกรีไทร์จากรั้วหมาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ซึ่งก็คือตัวอาจินต์นั่นเอง หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่อ่านแล้วเพลิดเพลิน ได้เรียนรู้ถึงชีวิตคนชั้นแรงงานที่ทำงานอยู่ในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับแนวคิด หลักการในการใช้ชีวิตของคนธรรมดาๆ ต่างๆ ที่อาจฟังดูแล้วไม่เลิศเลอหรือสวยหรูเหมือนคำคมต่างๆ ที่ปรากฎอยู่ในหนังสือรวบรวมคติการใช้ชีวิตของพวกฝรั่ง แต่ก็สะท้อนถึงความเป็นจริง การใช้ชีวิตเพื่อให้ตนเองมีชีวิตอยู่รอดและสามารถต่อสู้กับความยากลำบากต่างๆ ได้ ซึ่งเป็นจุดที่ผมประทับใจกับหนังสือเล่มนี้อย่างยิ่ง ข้อคิดในการใช้ชีวิต (ซึ่งผมอยากใช้คำว่าการต่อสู้กับสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตมากกว่า) ได้สอดแทรกเข้ามาในทุกๆ ตอนของหนังสือเล่มนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบ แน่ก็คือเสน่ห์ของหนังสือเล่มนี้

หลังจากที่ผมได้ดูหนังเรื่องนี้จบ ผมเกิดความรู้สึกประทับใจระดับหนึ่ง ในแง่ของการสร้าง ฉากและอุปกรณ์ต่างๆ ต้องขอยกนิ้วให้เลยว่าออกมาได้ดีและคงจะไม่ผิดเพี้ยนไปจากที่คนที่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้มาก่อนจินตนาการมากนัก สำหรับในส่วนของบท (ซึ่งหนังไทยเกือบทุกเรื่องมักจะตกม้าตายตรงจุดนี้) ผมขอบอกว่า "สอบผ่าน" การดำเนินเรื่องอาจจะออกมาไม่ค่อยปะติดปะต่อและไหลลื่นมากนัก (ในจุดนี้หากทำได้เนียนกว่านี้ผมว่าหนังเรื่องนี้จะสมบูรณ์อย่างมาก) แต่ผมก็เข้าใจที่ว่าหนังเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนิยาย การที่จะนำรายละเอียดในนิยายจำนวน 142 ตอนมาใส่ไว้หนังความยาว ไม่เกินสองชั่วโมงนั้นจึงเป็นไปได้ยากยิ่งนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าคุณจิระทำได้ดีในระดับหนึ่งและยังคงความประทับใจที่ปรากฎในนิยายบางส่วนไว้ได้ดี และผมก็เชื่อว่า ณ ตรงนี้คงจะไม่มีใครทำนำหนังสือเรื่องนี้มาทำหนังได้ดีเท่ากับคุณจิระอีกแล้ว สำหรับดาราที่มาแสดงก็ถือว่าใช้ได้ในระดับหนึ่งครับ

ผมอดไม่ได้ที่จะเอาชีวิตของอาจินต์ฯ กับชีวิตผมาเปรียบเทียบกัน เนื่องจากภาวะที่เขาเผชิญเมื่อครั้งไปทำงานที่เหมืองกับภาวะที่ผมเผชิญเมื่อครั้งจากบ้านเกิดเมืองนอนมาทำงานในต่างแดนนั้นช่างมีความละม้ายคล้ายคลึงอยู่พอสมควร ผมต้องจากครอบครัวอันเป็นที่รักมาทำงานในที่ๆ มีแต่คนแปลกหน้า ซึ่งงานต่างๆ ที่ผมทำช่างแตกต่างกับสิ่งที่ผมได้เคยเรียนรู้เมื่อครั้งยังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี ผมต้องพบกับอุปสรรคมากมาย สามารถที่จะรู้สึกได้ว่าตนเองก็เปรียบเสมือนจุดเล็กๆ ของสังคมและพยายามค้นหาวิธีที่จะทำให้จุดเล็กๆ จุดนี้เป็นฟันเฟืองที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมได้ (ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการค้นหา) ดังนั้นผมจึงชอบคำที่โปรบของหนังเรื่องนี้ว่า "เกียรติของคน ต้องขุดเอง"เนื่องจากผมเป็นอีกคนที่เชื่อว่า การดำเนินการในเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น แม้ว่าจะมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ แต่ท้ายที่สุดก็อยู่ที่ตัวเราเป็นผู้ที่จะทำทุกอย่างให้เป็นผลสำเร็จอยู่ดี

แม้ว่าความประทับใจที่ผมมีต่อหนังเรื่องนี้อาจจะไม่เทียบเท่ากับเมื่อครั้งผมดู "15 ค่ำเดือน 11" ก็ตามแต่ข้อคิดต่างๆ ที่หนังเรื่องนี้ได้นำมาจากหนังสือเพื่อถ่ายทอดให้ผู้ชมนั้น และพยายามจะให้คนดูได้คิดหาวิธีในการใช้ชีวิตเพื่อประสบความสำเร็จนับว่าเป็นเรื่องที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง ก่อนจบผมขอฝากทิ้งท้ายคำคมจากหนังเรื่องนี้อีกประโยคว่า "อดีตคือความฝัน ปัจจุบันต้องอดทน" ครับ

HK

2 Nov. 05

Monday, October 31, 2005

แบบ เบิร์ด เบิร์ด


ขึ้นหัวอย่างนี้หลายคนอาจจะประหลาดใจว่าผมจะเขียนถึงคอนเสิร์ตของพี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์หรืออย่างไร ไม่ใช่แน่นอนครับ ผมไม่ได้จะเขียนถึงศิลปินคนโปรดของผมแน่นอน แต่วันนี้จะว่าด้วยเรื่องของนก (ที่ไม่ใช่น้องนก) ล้วนๆ ครับ ถ้าพูดถึงนกหรือสัตว์ปีก ประเด็นที่เด่นดังในปัจจุบันคงไม่มีประเด็นไหนสู้กับเรื่องการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกได้อย่างแน่นอน โรคไข้หวัดนก หรือชื่อภาษาอังกฤษที่ใช้กันว่า Avian Influenza สายพันธ์ H5N1 เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่บางสายพันธุ์ที่พบในนก ซึ่งเป็นแหล่งรังโรคในธรรมชาติ ปกติแล้วโรคนี้ติดต่อมายังคนได้ไม่ง่ายนัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีทางเลยนะครับ เนื่องจากคนที่สัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์ที่เป็นโรคก็อาจติดเชื้อได้ มีรายงานการเกิดโรคไข้หวัดนกในคนครั้งแรกในปี 2540 เมื่อเด็กชายชาวฮ่องกงวัย 3 ขวบ เสียชีวิตด้วยไข้หวัดใหญ่อย่างกระทันหันจากการติดเชื้อไวรัสไก่ ในคราวที่เกิดโรคระบาดของสัตว์ปีกในฮ่องกง แต่โรคนี้มีชื่อเสียงโด่งดังก็เมื่อปี 2547 โดยได้มีการแพร่ระบาดไข้หวัดนกอย่างรวดเร็วและแพร่หลายในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และกำลังแพร่ระบาดไปยังยุโรป

ขณะนี้เข้าสู่ปีที่ 8 แล้วสำหรับการเริ่มแพร่ระบาดของโลกนี้ โดยในช่วงเวลาดังกล่าว มีคนตายจากโรคไข้หวัดนกทั้งสิ้น 68 คน โดยแบ่งเป็นเวียดนาม 41 คน ฮ่องกง 7 คน กัมพูชา 4 คน อินโดนีเซีย 3 คน ส่วนพี่ไทยเราก็ไม่น้อยหน้าครับ มีทั้งหมด 13 คน ขณะที่สัตว์ปีกถูกฆ่าเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวไปแล้วกว่า 140 ล้านตัว นับว่าเป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว หลายท่านอาจมองว่าตัวเลขของผู้เสียชีวิตไม่เยอะเท่าไหร่ แต่อย่าลืมนะครับว่านี่คือตัวเลขของผู้ที่ติดโรคมาจากสัตว์ปีก และหากโรคนี้สามารถแพร่เชื้อจากคนสู่คนได้ละก็ จะนับเป็นเรื่องที่น่าวิตกเลยทีเดียวครับ เพราะผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ได้วิเคราะห์ว่าโรคนี้อาจมีอันตรายเทียบเท่ากับ Spanish Flu ที่มีการแพร่ระบาดเมื่อปี ค.ศ. 1918 และคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 150 ล้านคนเลยทีเดียว

สำหรับในบ้านเรานั้น รัฐบาลได้กำหนดให้โรคไข้หวัดนกเป็น National Agenda เนื่องจากไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยทีเดียว โดยวัตถุประสงค์หลักก็เพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวไปสู่มนุษย์ ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการควบคุมโรคไข้หวัดนกขึ้น โดยหน่วยงานนี้จะเป็นผู้ดำเนินการด้านการป้องกันและควบคุมทุกอย่าง รวมทั้งมีการออกแผนยุทธศาสตร์แก้ไขปัญหาโรคไข้หวัดนก พ.ศ. 2548-2550 ทั้งนี้รัฐจะประสานกับหน่วยงานระดับชุมชนในการควบคุมการแพร่ระบาดในแต่ละชุมชน รวมทั้งให้ความรู้ชาวบ้านเกี่ยวกับโรคไข้หวัดนก เพราะการประชาสัมพันธ์ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจเกี่ยวกับโรคดังกล่าว ไม่ใช่ปิดบังแล้วบอกว่าไม่มีโรคนี้เกิดขึ้นในไทย จนกระทั่งสายไป แบบประมาณวัวหายแล้วล้อมคอก (แฮ่ม!!! คุ้นๆ นะครับ) นอกจากนี้รัฐบาลยังได้ประสานกับองค์การอนามัยโลก ในการวิจัยพัฒนาต่างๆ อีกด้วย

ในส่วนของกาตาร์ ประเทศที่ผมอยู่นั้นรัฐบาลกาตาร์ได้จัดตั้ง Avian Fluenza Preparedness and Response Committee ขึ้น เพื่อดูแลการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว จะมีการติดกล้องอินฟาเรดดิจิตอลที่สนามบินเพื่อตรวจสอบผู้โดยสารที่เดินทางมาจาก เวียดนาม กัมพูชา อนโดนีเซีย และไทย และจะมีการจับตาดูผู้โดยสารเหล่านี้อย่างใกล้ชิด มีการจัดจุดตรวจนกที่อพยพย้านถิ่นฐานเข้ามาและจุดตรวจนำเข้าสัตว์ปีก เพิ่มการห้ามการนำเข้าสัตว์ปีกนอกจากไทยและประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว ยังรวมไปถึงโรมาเนีย โครเอเชียด้วย และห้ามนำเข้าสัตว์ปีกมีชีวิตจากทุกประเทศทั่วโลก การสั่งซื้อยา Tamiflu จำนวนมหาศาล (สมกับความร่ำรวย) รวมทั้งมีการให้บริการสาย hotline เพื่อให้ความรู้กับประชาชนในเรื่องดังกล่าว

เห็นได้ว่าแต่ละประเทศพยายามที่จะป้องกันโรคดังกล่าว ซึ่งนอกเหนือจากประเด็นการป้องกันโรคร้ายแล้ว ยังถือว่าเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ในประเทศด้วย มาตรการรักษาความปลอดภัยจากกการแพร่ระบาดของโลกยังสามารถส่งผลในด้านเศรษฐกิจ โดยสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศได้ อย่างไรก็ดี ผมเห็นว่า การป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนก ควรให้ความสำคัญต่อประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นหลักมากกว่าที่จะมองถึงประเด็นด้านเศรษฐกิจ

HK
31 Oct. 05

Saturday, October 29, 2005

Al Jazeera คลื่นลูกใหม่ในโลกของสื่อ


ช่วงนี้ผมหันมาติดทีวีเป็นพิเศษ ไม่ได้ติดละครนะครับ แต่ติดข่าว ซึ่งอาจจะเป็นที่น่าแปลกใจไม่น้อยกับสถานีข่าวที่ผมติดคือสถานีโทรทัศน์ Al Jazeera Television Channel หลายท่านอาจจะทราบดีว่าสถานีโทรทัศน์ช่องนี้นำเสนอข่าวในภาษาอารบิกล้วนๆ และแม้ว่าจะมีภาษาอังกฤษแต่ก็จะโดนเสียงอาหรับกลบทับทันที แต่แม้จะฟังไม่รู้เรื่องก็ตามที แต่การนำเสนอข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่องนี้นับว่ามีความน่าสนใจอยู่พอสมควรทีเดียว จากความช่วยเหลือของพี่ที่เป็นล่ามภาษาอาหรับ รวมทั้งการใช้สติปัญญหาที่มีอยู่อันน้อยนิดเพื่อเดา ทำให้ผมเข้าใจถึงการนำเสนอข่าวของ Al Jazeera พอสมควรทีเดียว ประเด็นที่น่าสนใจของช่องนี้คือรายการต่างๆส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และมีประเด็นต่างๆ ที่น่าสนใจอย่างมาก พูดง่ายๆ คือรายการต่างๆ เกือบทั้งหมดจะเกี่ยวกับข่าวล้วนๆ และจากการที่ผมจับประเด็นเนื้อหาของรายการดู พบว่าจะไม่มีการชี้นำให้กับคนดูไปด้านใดด้านหนึ่ง แต่จะนำเสนอข้อมูล และความคิดเห็นในทุกๆ ด้าน และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์นั้นๆ ทุกๆ ฝ่าย

ผมเคยโชคดีได้มีโอกาสติดตามผู้ใหญ่ไปเยี่ยมชมสถานีโทรทัศน์แห่งนี้และพบกับนายสถานี นายวัดดะห์ คานเฟอร์ และนายซัทนัม มะทะรุ หัวหน้าฝ่าย International Media Relation ซึ่งก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี โดยครั้งที่ผมไปนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีคณะจากไทยเข้ามาเยี่ยมชม Al Jazeera (แม้ว่าก่อนหน้านี้เราเคยมีหนังสือชี้แจงเหตุการณ์ต่างๆ ทางภาคใต้ให้กับทางสถานีหลายครั้งแล้วก็ตาม) โดยการเข้าพบในครั้งนี้ ผมก็ได้รับทราบถึงหลักการการนำเสนอข่าวของ AL Jazeera ว่า จะนำเสนอข่าวให้เป็นกลางมากที่สุด เพื่อให้ผู้เสพข่าวได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนจากทุกๆ ด้าน ก่อนที่จะเป็นหน้าที่ของผู้รับชมข่าวเป็นผู้ตัดสินเองว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร จะไม่มีการชี้นำ โดยทุกๆ ฝ่ายจะได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จาก Al Jazeera อย่างเท่าเทียมกัน ก่อนหน้านี้สหรัฐฯ และประเทศฝั่งตะวันตกทั้งหลายมองว่า Al Jazeera คือศัตรูอันดับหนึ่งในโลกของสื่อ และเป็นเครื่องมือของโลกอาหรับในการโจมตีประเทศตะวันตกเหล่านี้ แต่ปัจจุบันมีประเทศอาหรับหลายประเทศแสดงคามไม่พอใจกับการนำเสนอข่า Al Jazeera เนื่องจากเนื้อข่าวมีการเปิดเผย มีการวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา และคลอบคลุมในทุกประเด็น ซึ่งเรื่องนี้ผมได้รับการพิสูจน์มาด้วยตาตนเองก็เมื่อคืนวันก่อนนี่เองครับ โดยได้มีรายการนำเสนอเหตุการณ์ในสามจังหวัดภาคใต้บ้านเรา ชื่อรายการ ชะตากรรมของชาวมุสลิมในไทย ซึ่งเป็นรายการที่มีความยาวแค่ครึ่งชั่วโมงรวมโฆษณา แต่เนื้อหาสาระได้คลอบคลุมในทุกประเด็น ไม่ว่าจะเป็นชีวิตความเป็นอยู่ของชาวมุสลิม ประวัติศาสตร์รัฐปัตตานี ด้านการเมือง การศึกษา หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์ที่ตากใบและกรือแซะ โดยมีความเห็นของจากทั้งฝ่ายมุสลิมเองรวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐ นับว่าน่าสนใจทีเดียว

ปีหน้าผมคาดว่าจะเป็นการก้าวสู่ความรุ่งเรืองของ Al Jazeera ปัจจุบันสถานีข่าวแห่งนี้ติดหนึ่งในห้าของ brand ที่มีอิทธิพลกับสังคมโลก เคียงคู่กับแบรนด์ดังๆ อย่าง Starbucks หรือ Google แสดงว่ามีผู้คนจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะเสพข่าวจากสถานีแห่งนี้ ปีหน้าจะมีการเปิดช่องภาษาอังกฤษ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะในส่วนของเนื้อข่าวว่าจะมีการตัดทอน ดัดแปลงจากเวอร์ชั่นอาหรับหรือไม่ จะมีการขยายสาขาต่างประเทศอีกเป็นจำนวนมาก เปิดช่องอื่นๆ ด้านกีฬาและสำหรับเด็ก มีการแพร่ภาพข่าวบนสายการบินบางสาย นับว่าเป็นนิมิตรใหม่ทีเดียวครับสำหรับสถานีโทรทัศน์ที่มีผู้ให้การสนับสนุนเป็นรัฐบาลของประเทศเล็กๆ อย่างกาตาร์ บอกได้คำเดียวครับว่าน่าติดตามจริงๆ กับการแข่งขันในโลกของสื่อที่จะไม่ใช่การแข่งขันเฉพาะสื่อจากตะวันตกอีกต่อไป

HK
29 oct 05

Friday, September 09, 2005

ค้นหาผมคนเดิม

วันนี้ผมคงต้องขออนุญาตบ่นหน่อยนะครับ บ่นตัวผมเองนี่แหละครับ บ่นกับพฤติกรรมบางอย่างของตัวผมเองครับ ผมมีความรู้สึกว่าชีวิตช่วงนี้ของผมอยู่ภาวะขาลงเหมือนกับสถานะของผู้นำบางประเทศ ขาลงในที่นี่ของผมไม่ได้หมายถึงหน้าที่การงานและความรับผิดชอบที่ผมทำอยู่ แต่หมายถึงสภาพจิตใจของผมที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งผมคงจะไม่มาขออนุญาตบ่นอย่างแน่นอนหากมันเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่สิ่งที่เป็นอยู่นี้กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากมันเป็นไปในทางที่แย่ลง ซึ่งสภาพจิตใจที่อยู่ในช่วงขาลงเช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ผมรู้สึกแย่และท้อใจ (ถ้าศัพท์วัยรุ่นสมัยใหม่เขาจะใช้คำว่า down down) แต่มันยังสะท้อนออกมาในพฤติกรรมของผมในหลายๆ ด้าน

ผมขาดสมาธิที่จะทำอะไรหลายๆ อย่าง ทำให้งานไม่ออกมาอยู่ในมาตรฐานระดับปกติของตัวเอง หรือแม้มันออกมามันก็เหมือนกับงานที่ถูกกลั่นกรองมาอย่างลวกๆ และไร้ซึ่งความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงของผม และอีกประเด็นหนึ่งที่ผมเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผมและคนรอบๆ ตัวผม ก็คือ การสื่อสารกับคนรอบข้าง!!! ใช่ครับ ผมหมายถึงว่าช่วงเวลานี้ในบางครั้งผมไม่สามารถที่จะสื่อสารกับคนรอบข้างได้รู้เรื่องเหมือนแต่ก่อน ผมไม่สามารถทำให้เขาเกิดความเข้าใจในสารที่ผมพยายามจะส่งไปให้เขา ข้อความที่ผมส่งให้เขานั้น กลับกลายเป็นว่าเขาตีความหมายผิดไป และทำให้เขาเข้าใจมุมมองของผมผิดไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งไม่ใช่ความผิดของเขาหรอกครับ แต่เป็นความผิดของผมเอง เพราะเมื่อผมกลับมาทบทวนข้อความของผมแล้ว ผมก็เห็นด้วยอย่างยิ่งว่า ช่วงเวลานั้นผมสื่อสารกับเขาไม่รู้เรื่องจริงๆ ผมกลับทำให้คนๆ นึงที่เขาอวยพรผมในบางเรื่องกลับต้องมานั่งเข้าใจผิด ตาย ตาย ตายครับ จนบัดนี้ผมยังไม่ได้คุยกับเขาอีกเลย

ประเด็นที่สำคัญอีกประการ คือความคิด positive thinking ของผมที่เป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำรงชีวิตของผมกลับลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนซีเรียส และจริงจังกับชีวิตมากเกินไป ซึ่งถ้าหลายท่านคงทราบดีว่าความจริงแล้วผมเป็นคนที่ร่าเริง มองโลกในแง่ดี ชอบปล่อยมุกตลก (แป๊กๆ) และจะไม่พยายามคิดเล็กคิดน้อยหรือจริงจังกับชีวิตมากเกินความจำเป็น รวมทั้งใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและไม่ซับซ้อนมากที่สุด ขณะนี้หลายคนมองผมเป็นคนที่เครียดกับชีวิตทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของผมเลย เป็นผลให้คนบางคนที่ผมอยากให้เขารู้จักความเป็นตัวตนที่แท้จริงของผมเข้าใจผมผิดไป

สาเหตุของสภาวะจิตใจที่ย่ำแย่ในปัจจุบันของผมคงเกิดจากการที่ผมมุ่งมั่นกับงานมากจนเกินไปและไม่ยอมปล่อยวางเรื่องที่สมควรจะปล่อยวางบ้าง และเกิดจากกิเลสที่อยู่ในตัวผมเองที่ยังพยายามจะแข่งขันและมุ่งมั่นมากจนเกินความพอดี ความพอดีนี่แหละที่ทำให้มนุษย์อย่างเราๆ เป็นสุข จริงอยู่ที่ความตั้งใจจริงในการทำอะไรบางอย่างนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่หากมันมากจนเกินไปก็จะเป็นสิ่งไม่ดีต่อสุขภาพกายและจิตของเราได้ ดังนั้นการกระทำทุกๆ อย่างนั้นเราควรตั้งอยู่ในความพอดี

เมื่อคิดอย่างนี้ได้ ผมควรจะปรับการดำเนินชีวิตของผมให้กลับมาอยู่ในความพอดีอีกครั้ง เพื่อให้กลับเข้าสู่เส้นทางการดำเนินชีวิตอย่างปกติอีกครั้งหนึ่ง ผมเชื่อว่าผมจะกลับมาเป็นผมคนเดิมในเร็วๆ นี้ ตอนนี้สิ่งที่ผมอยากจะทำและควรจะทำก็คือการขอโทษคนบางคนที่ผมให้เขาเข้าใจผิดในบางเรื่องและหวังว่าเขาคงเข้าใจผมได้มากขึ้น ซึ่งผมหวังว่าคงมีโอกาสนั้นครับ ขอบคุณครับ

HK
9 ก.ย. 48

Wednesday, August 31, 2005

ความสุขในชีวิต

กลับมาแล้วครับ กลับมาหลังจากที่หายไปพักผ่อนสมอง รวมทั้งชาร์จพลังไฟในตัวมาเป็นเวลานานสองนาน จนแฟนพันธุ์แท้บล็อกผมบางคน (ซึ่งก็มีอยู่ไม่กี่คน) ก็บ่นว่าผมเลิกล้มความตั้งใจไปแล้วเหรอกับการเขียนเรื่องราวต่างๆ ในครั้งนี้ ผมอยากจะบอกว่า อย่าน้อยใจไปเลยครับ ผมไม่ได้ล้มเลิกความตั้งใจแต่อย่างใด แต่ในช่วงที่ผมหายไปนี้ ผมได้ไปนั่งเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง และนำสิ่งที่ผมได้รับรู้มานั้นมานั่งขบคิดและปรับมันเข้ากับสภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของผม

เพื่อนสนิทของผมหลายๆ คนคงจะทราบดีว่าเดือนสิงหาคมของทุกปีเป็นเดือนที่สำคัญสำหรับผม เนื่องจากเป็นเดือนที่ผมจะกราบขอบพระคุณคุณแม่ที่เป็นที่รักของผมครั้งใหญ่ รวมทั้งจัดการเฉลิมฉลอง เนื่องในโอกาสที่ผมจะเป็นหนุ่มขึ้นอีกปีหนึ่ง ทุกๆ ปีผมจะเฝ้ารอคอยวันเกิดของผมอย่างใจจดใจจ่อเพื่อรอคอยการเฉลิมฉลอง ความสนุกสนานที่จะมีขึ้น แต่ปีนี้การณ์กลับไปเป็นเช่นนั้น ตลอดทั้งเดือนผมใช้เวลาครุ่นคิดกับความสุขในชีวิตของที่ผมต้องการและแนวทางในการดำเนินชีวิตเพื่อบรรลุความสุขอันนั้น ด้วยเหตุที่ว่า อายุผมก็จะเวียนมาครบ 24 ปี ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นวัยที่กำลังจะก้าวขึ้นเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว ผมค่อยๆ ทบทวนคิดว่าสิ่งที่ผมต้องการคืออะไรกันแน่ ผมเคยคิดเสมอว่าการที่ผมได้แข่งขันในเรื่องต่างๆ ทั้งในเรื่องการเรียน (ในสมัยที่ยังเป็นนักศึกษา) เรื่องงาน เรื่องกีฬา หรือแม้แต่การแข่งขันเพื่อเอาตัวรอดในสังคมกับบุคคลอื่นๆ สิ่งเหล่านั้นคือความสุขของผม แน่นอนว่าการแข่งขันเหล่านี้มันทำให้ประสาท ความคิด และความรู้สึกของเราตื่นตัว (alert) และอาจสร้างความสนุกสนานให้กับเราเอง แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจนักว่าสิ่งเหล่านี้คือความสุขที่จีรังนักหรือ

ผมได้มีโอกาสกลับไปอ่านบทความของกระท่อก หรืออาทิตย์ ประสาทกุล เพื่อนรักคนหนึ่งของผมที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเข้าโรงเรียนประจำด้วยกัน ซึ่งตีพิมพ์ในเวบไซต์ผู้จัดการ ภายใต้ชื่อคอลัมน์ "การเดินทางครั้งนี้ไม่ธรรมดา" อย่างพินิจพิเคราะห์อีกครั้ง พบว่า มีประโยคหนึ่งซึ่งทำให้ผมเข้าใจกับความหมายของคำว่าความสุขอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น กระท่อกได้นำมาจากคุณวันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ หรือพี่จอบของกระท่อก โดยคุณวันชัยได้กล่าวว่า "แนวทางในการดำเนินชีวิตนั้นควรประกอบไปด้วยคติสามประการ นั่นคือ หนึ่งทำงานที่มีความสุข ได้เงินพอจุนเจือตัวเองและคนรอบข้าง สอง เสียสละและทำประโยชน์ให้สังคม และสาม ออกเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเรียนรู้โลกและผู้คน" สามข้อที่สามารถปฏิบัติอย่างง่ายๆ นี่แหละครับ ที่ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่าคือความสุขที่เราหลายๆ คนต้องการ

หลายๆ คนพยายามแต่งเติมความสุขของตนเองด้วยการใช้ชีวิตด้วยวิถีทางที่เลิศเลอและเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นคือความสุข โดยลืมคำนึงไปว่า การดำเนินชีวิตอย่างพอเพียงและมีความสมดุลก็จะส่งผลให้เกิดความสุขอย่างพอเพียง หากไม่เช่นนั้นแล้วความไม่สมดุลหรือความไม่เท่าเทียมอาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้น การดำเนินชีวิตอย่างพอดีจึงเป็นสิ่งที่หลายๆ คนที่เข้าใจกับชีวิตแล้วพยายามจะกระทำตามไปในทางนั้น

มีหลายคนกล่าวว่า ตนก็มีอุดมคติที่จะดำเนินชีวิตตามความคิดที่ว่าเพื่อบรรลุซึ่งความสุข แต่ไม่มีโอกาสได้กระทำตามด้วยเงื่อนไขหลักคือสภาพแวดล้อมของบุคคลนั้นๆ อย่างไรก็ดี ผมเชื่อว่าเราทุกคนมีสิทธิที่จะดำเนินชีวิตไปตามแบบแผนที่ตนวางไว้ ซึ่งถึงแม้เราจะไม่มีโอกาสมากนัก แต่มนุษย์เราทุกคนจำเป็นที่จะต้องสร้างโอกาสของตนเองขึ้นมา ดังนั้น ผมว่าเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งนักที่พวกเราทุกคนจะต้องรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเฝ้าค้นหาเพื่อนำไปซึ่งความสุขที่แท้จริงนั้นคืออะไร และการสร้างโอกาสในการดำเนินชีวิตไปตามทางเหล่านั้นควรจะกระทำเช่นไร

วันเกิดผมปีนี้อาจจะไม่ครึกครื้นเหมือนปีที่ผ่านมา อาจไม่มีการเฉลิมฉลองใดๆ แต่ผมนับว่าเป็นวันเกิดที่มีค่ามากกับผมที่สุดอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากถือว่าเป็นการที่ผมคิดว่าผมได้ค้นพบการดำเนินชีวิตเพื่อจะนำไปซึ่งความสุขที่ผมต้องการจริงๆ เสียที


HK
31 August 05