Thursday, June 30, 2005

ทิศทางของอิหร่านหลังการเลือกตั้ง



คงทราบกันดีแล้วว่าในที่สุดนาย Mahmoud Ahmadinejad อดีตนายกเทศมนตรีของกรุงเตหะราน ซึ่งเป็นพวกอนุรักษ์นิยมสุดโต่งก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของอิหร่าน เอาชนะคู่แข่งคนสำคัญอย่างนาย Akbar Hashemi Rafsanjani อดีตประธานาธิบดีอิหร่านช่วงระหว่างปี 2532 – 2540 (นานพอดู) และนักการเมืองมือเก๋าไปได้ ก่อนหน้านี้ผมได้แต่เฝ้ามองและติดตามข่าวคราวเกี่ยวกับอิหร่านอยู่ห่างๆ ด้วยเหตุผลสองประการคือ หนึ่ง อิหร่านเป็นประเทศที่มีแหล่งก๊าซธรรมชาติสำรองใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากรัสเซีย และ สอง อิหร่านมีปัญหาขัดแย้งกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง (รวมถึงพี่เบิ้มอย่างสหรัฐอเมริกาและกลุ่มสหภาพยุโรป) อยู่เป็นประจำ อย่างไรก็ดี ผมก็เริ่มที่จะลดระยะห่างของการเฝ้ามองและติดตามลงมาเรื่อยๆ เนื่องจากบทบาทของอิหร่านบนเวทีโลกเริ่มทวีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการที่อิหร่านมีปัญหาความขัดแย้งกับสหรัฐฯ เรื่องการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ ดังนั้นผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของอิหร่านในครั้งนี้จึงมีความสำคัญยิ่งทั้งในแง่ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ ในอนาคต

นอกเหนือจากประธานาธิบดีแล้ว อิหร่านมีนาย Ayatollah Seyed Ali Khamenei เป็นประมุขสูงสุด ซึ่งเป้นผู้นำทั้งด้านศาสนจักรและอาณาจักร ตำแหน่งนี้มีอำนาจถอดถอนประธานาธิบดีได้ แม้ว่าประธานาธิบดีคนนั้นจะได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชนก็ตาม ประธานาธิบดีคนก่อนหน้านี้มีชื่อว่านาย Mohamed Khatami ซึ่งได้พยายามปฏิรูปประเทศเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันให้เกิดระบอบประชาธิปไตยตามหลักศาสนาอิสลามขึ้นในอิหร่านจนเป็นผลสำเร็จ การปฏิรูปทางการเมือง สังคม และวิชาการ เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปทางเศรษฐกิจ การให้สิทธิและเสรีภาพแก่ประชาชนและสื่อมวลชนมากขึ้น เหล่านี้สำเร็จบ้างและไม่สำเร็จปนเปกันไป อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะกับประเทศตะวันตกนั้นไม่ค่อยจะสู้ดีนัก โดยมีประเด็นการผลิตอาวุธนิวเคลียร์เป็นประเด็นหลัก รวมถึงการที่สหรัฐฯ กล่าวหาว่าอิหร่านพยายามที่จะเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในประเทศของอิรักและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ดังนั้นผลการเลือกตั้งที่ออกมาว่านาย Ahmadinejad เป็นผู้ชนะการเลือกตั้งจึงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจในแวดวงนักการทูตและสื่อมวลชนต่างประเทศ เนื่องจากเขาไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ต่างจากนาย Rafsanjani ซึ่งเป็นที่รู้จักดีในหมู่บุคคลชั้นสูง รวมทั้งมีนโยบายการรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ที่ชัดเจน แต่สำหรับประชาชนทั่วไป ผลการเลือกตั้งดังกล่าวนับว่าโดนใจประชาชนอย่างเป็นที่สุด เนื่องจากภาพลักษณ์ของนาย Ahmadinejad ดูเป็นคนมือซื่อ ใจสะอาด และดูเป็นกันเอง ติดดินและประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย ขณะที่นาย Rafsanjani ประชาชนยังคงคลางแคลงใจว่าอาจมีผลประโยชน์ทางธุรกิจส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง

ประธานาธิบดีคนใหม่ของอิหร่านได้รับการขนานนามว่าเป็นพวกอนุรักษ์นิยม และเป็นคนหัวแข็งอยู่พอสมควร แค่ประเด็นเกี่ยวกับเรื่องการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ก็ทำให้พี่เบิ้มอย่างสหรัฐฯ และกลุ่มสหภาพยุโรปถึงกับออกอาการผวานิดๆ โดยนาย Ahmadinejad ได้กล่าวว่า อิหร่านมีสิทธิอันชอบธรรมในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ และหลายฝ่ายเชื่อว่า นโยบายการต่างประเทศระหว่างอิหร่านกับประเทศอื่นๆ จะยังคงคลุมเครือต่อไป ไม่เฉพาะแค่กับประเทศตะวันตกเท่านั้น แต่ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านอาจย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิมอีก และอาจส่งผลให้อิหร่านต้องถูกทิ้งอย่างโดดเดี่ยว

นอกเหนือจากประเด็นด้านการต่างประเทศแล้ว ประเด็นที่ผมให้ความสนใจอีกประเด็นคือผลการเลือกตั้ง เนื่องจากนาย Ahmadinejad ได้คะแนนเสียงไปถึงร้อยละ 62 ของคะแนนเสียงทั้งหมด ผิดจากที่หลายฝ่ายคาดการณ์เป็นอย่างมาก เนื่องจากในช่วงแรกของการหาเสียงนาย Ahmadinejad ไม่ได้อยู่ในสายตาของฝ่ายใดเลย แต่ด้วยการเข้าถึงประชาชน การสร้างความคุ้นเคยกับประชาชน ทำให้สามารถเข้าไปนั่งอยู่ในใจของประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งมีฐานะไม่ค่อยสู้ดีนัก ทำให้เห็นได้ชัดว่าเราไม่อาจมองข้ามพลังประชาชนได้เลยแม้แต่นิดเดียว ต่อให้คุณมีนโยบายระดับดีเลิศแค่ไหน แต่คุณไม่สามารถเข้าไปนั่งในใจของประชาชนได้ ก็จบ อย่างไรก็ดี เราก็ได้เห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นในหลายประเทศที่ประชาชนยึดในรูปลักษณ์ที่ติดดินเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกผู้นำประเทศมากกว่าที่จะพิจารณาถึงนโยบายเป็นหลักดังจะเห็นได้จากฟิลิปปินส์ (ความเห็นส่วนตัวผม ผมแอบนับการเลือกตั้ง George W. Bush สมัยแรกเข้าไปด้วย)

การเลือกตั้งประธานาธิบดีอิหร่านในครั้งนี้จึงเป็นที่น่าสนใจยิ่ง และน่าสนใจขึ้นไปอีกว่าต่อจากนี้ไปอิหร่านจะก้าวต่อไปอย่างไรในเวทีโลก

HK
30 มิ.ย. 48

Wednesday, June 29, 2005

Discover the Arabian Gulf's properties

ต้องขอโทษด้วยที่วันนี้ขอใช้ภาษาอังกฤษเป็นชื่อเรื่อง และต้องขอโทษเป็นครั้งที่สองที่วันนี้เราจะพูดถึงแต่ความหรูหรา ครับ วันนี้ผมจะทำตัวให้เป็นนายหน้าขายอสังหาริมทรัพย์เข้าสักวัน ผมจะพูดถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในตะวันออกกลางซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงขา (กำลัง) ขึ้น โดยเฉพาะการก่อสร้างเกาะ (Man-Made Island) เพื่อเป็นสถานที่พักตากอากาศเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนเข้ามาลงทุนกันในประเทศแถบตะวันออกกลางซึ่งเคยขึ้นชื่อนักหนาว่าเป็นประเทศปิด

ประเทศเหล่านี้ตระหนักถึงกระแสโลกานุวัฒน์ที่ถ่าโถมเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งผู้ที่เริ่มรับกับกระแสนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับ ก็คือเมืองดูไบที่เราๆ ท่านๆ รู้จักกันดีอยู่ ตามมาด้วย กาตาร์ บาห์เรนที่อยู่ในระยะแรกเริ่ม ส่วนซาอุดิอาระเบียที่เป็นพี่ใหญ่อีกประเทศในภูมิภาคนี้นั้นยังคงปิดประเทศอยู่ ไม่ใช่ว่าล้าหลังหรืออะไรหรอก ครับ แต่บางทีการคงไว้ซึ่งวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมทางศาสนาที่เก่าแก่ก็เป็นการให้ประชาชนในชาติอยู่ร่วมกันอย่างเป็นปึกแผ่นได้อีกทางหนึ่งนะครับ (ผมพยายามอธิบายให้เห็นถึงแนวทางการรับกระแสโลกานุวัฒน์ของแต่ละประเทศที่แตกต่างกันออกไปครับ)

กลับเข้ามาสู่เรื่องธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ผมพยายามจะนำเสนอกันดีกว่า ก่อนที่จะนอกประเด็นไปมากกว่านี้ เริ่มต้นจากที่ดูไป ได้มีการสร้างเกาะขนาดใหญ่ขึ้น 2 เกาะ ชื่อว่า The Palm Islands โดยรูปลักษณ์ของเกาะมีลักษณะคล้ายๆ ต้นปาล์ม มีลำต้น และมีใบแยกเป็นแฉกออกไป ได้ชื่อว่าเป็น man made islands ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีบริเวณชายฝั่งรวมกันถึง 120 กิโลเมตร (เกือบเท่ากรุงเทพ-ชลบุรีเลยนะ) และได้ถูกขนานนามว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก สิ่งก่อสร้างประกอบด้วย โรงแรมระดับหรู 60 แห่ง ที่พักอาศัยบนตัวเกาะ 4,000 หลังคาเรือน ที่พักที่ยื่นออกไปริมน้ำ 1,000 หลังคาเรือน และ อพาร์ทเมนต์ 5,000 ยูนิต แต่เสียใจนะครับ ทั้งหมดนี้ขายออกไปหมดแล้ว


เกาะทั้งสองนี้แบ่งออกเป็นสัดส่วนได้อย่างลงตัวทีเดียว เกาะแรกที่ผมจะกล่าวถึงมีชื่อเรียกว่า The Palm Jumeirah เป็นสถานที่สำหรับที่พักอาศัยโดยเฉพาะ ซึ่งจะประกอบด้วยที่พักที่ผมได้กล่าวมาไว้ข้างต้น การก่อสร้างเกาะแห่งนี้ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2544 และมีกำหนดเสร็จประมาณช่วงปลายปี 2548 หรือต้นปี 2549

เกาะที่สองมีชื่อว่า The Palm Jebel Ali ซึ่งเกาะแห่งนี้จะเป็นศูนย์รวมความบันเทิงไว้อย่างครบครัน เพิ่อดึงดูดทั้งผู้พักอาศัยและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังดูไบ เกาะนี้จะใหญ่กว่าเกาะแรกครึ่งเท่าตัว การก่อสร้างเริ่มขึ้นในปี 2545 และมีกำหนดเสร็จในปลายปี 2550

เนื่องจากอาคารที่พักอาศัยบนเกาะ Palm ได้ถูกจับจองไว้เต็มหมดแล้ว จึงทำให้ทางการดูไบประกาศสร้างเกาะแห่งที่สามขึ้นเมื่อเดือนตุลาคมของปีที่ผ่านมานี้เอง โดยมีชื่อว่า The Palms Deira เกาะแห่งนี้จะใหญ่ก่าเกาะทั้งสอง และรวบรวมทุกอย่างไว้ครบวงจร ตั้งแต่ที่พักอาศัย รวมไปถึงสถานที่ด้านความบันเทิงต่างๆ เกาะนี้จะมีความยาว 14 กิโลเมตร และความกว้าง 8.5 กิโลเมตร โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในเร็วๆ นี้







นอกเหนือจาก Palm Islands แล้ว ยังได้มีการก่อสร้างหมู่เกาะที่มีชื่อว่า The World Islands ขึ้นอีก เกาะแห่งนี้มีรูปร่างเป็นรูปแผนที่โลก (เป็นผม ผมจะไปจองตรงที่ๆ เป็นส่วนของประเทศไทยเสียเลย) อยู่ใกล้ๆ กับ Palm Islands หมู่เกาะแห่งนี้ประกอบไปด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยถึงจำนวนประมาณ 250-300 เกาะ แต่ละเกาะจะอยู่ห่างกันประมาณ 50-100 เมตร สำหรับผู้ที่ไปศัยอยู่และคิดจะว่ายน้ำไปแต่ละเกาะนั้นขอเตือนว่าการเดินทางไปยังแต่ละเกาะสามารถเดินทางได้เพียงทางเรือเท่านั้น เกาะแห่งนี้มีความยาว 9 กิโลเมตร และความกว้าง 6 กิโลเมตร มีมูลค่าการก่อสร้าง 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะก่อสร้างเสร็จภายในปลายปีนี้ ขณะนี้กำลังเปิดให้นักลงทุนจองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิในแต่ละเกาะ ซึ่งสนนราคาก็ไม่มากไม่น้อย แค่ 6.85 ล้านเหรียญสหรัฐเองครับ


ไหนๆ ก็กล่าวถึงดูไบแล้ว ผมก็ขอถือโอกาสกล่าวถึงกาตาร์ด้วยเลยละกัน ที่กาตาร์ก็มีการก่อสร้างเกาะอยู่เช่นกันโดยของกาตาร์มีชื่อว่า The Pearl Qatar มีรูปร่างไม่ค่อยจะเป้นเอกลักษณ์เหมือนของที่ดูไบ คือจะดูคล้ายๆ ขดหอย แต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว
โครงการ Pearl-Qatar เป็นโครงการก่อสร้างเกาะขนาดใหญ่ เนื้อที่ 2,500 ไร่ ชายฝั่งความยาว 30 กิโลเมตร เพื่อเป็นที่พักอาศัยและเปิดโอกาสให้นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้ามาลงทุน และนับเป็นโครงการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่โครงการแรกของกาตาร์ เกาะแห่งนี้ประกอบด้วยที่พักอาศัยระดับหรูหราจำนวน 30,000 หลัง โรงแรมระดับห้าดาวจำนวน 3 แห่ง ศูนย์การศึกษา ร้านค้า ภัตตาคาร สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ สปา ซึ่งสิ่งก่อสร้างต่างๆ ในเกาะแห่งนี้จะถูกออกแบบในลักษณะ Riviera Arabia ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมเมอร์ดิเตอเรเนียนและอาหรับ


โครงการแห่งนี้แบ่งออกเป็นทั้งหมด 4 ระยะ โดยระยะแรกได้ขายให้แก่นักลงทุนทั้งจากต่างประเทศและประเทศในกลุ่ม GCC ไปหมดแล้ว คาดว่าจะเปิดให้เข้าไปพักอาศัยได้ในช่วงต้นปี 2550 รวมทั้งได้เปิดให้จองระยะที่สองในเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ซึ่งมีนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนมากขึ้น
จากข้อมูลไม่มากไม่น้อยที่ผมให้มาเกี่ยวกับการก่อสร้างเกาะของทั้งสองประเทศจะเห็นได้ว่าประเทศในภูมิภาคนี้เริ่มมีเป้าหมายสร้างโอกาสให้แก่นักลงทุนในธุรกิจประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังมีความเจริญเติบโตสูงในประเทศเหล่านี้ และนำมาซึ่งผลประโยชน์ทางสังคมและเศรษฐกิจ โครงการดังกล่าวยังได้ตอบสนองต่อเป้าหมายที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลคือก่อให้เกิดความหลากหลายทางเศรษฐกิจ สนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชน และอาจเสริมสร้างมาตรฐานด้านวัฒนธรรม


โครงการที่ผมกล่าวมาข้างต้นเหล่านี้ยังมีส่วนช่วยในการพัฒนาประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางให้มีชื่อเสียงในด้านที่พักอาศัย สถานที่จับจ่ายใช้สอย และจุดหมายปลายทางของท่องเที่ยวชั้นดี ทั้งนี้ประเทศบางประเทศยังได้จัดการปรับปรุงกฎหมายในด้านนี้โดยอนุญาตให้ชาวต่างประเทศสามารถเข้าไปมีในกรรมสิทธิในที่ดินในประเทศได้ เท่านี้ก็เห็นชัดแล้วว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กำลังมีบทบาทที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้มากน้อยเพียงใด เนื่องจากพวกเขารู้ตัวว่าทรัพยากรน้ำมันที่มีอยู่ในประเทศนับวันก็เริ่มจะหมดไป ดังนั้น ควรจะต้องมีการพัฒนาธุรกิจประเภทอื่นเพื่อเพิ่มอัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมถึงดุลการค้าต่อไป อย่างไรก็ดีการหลั่งไหลเข้ามาของชาวต่างประเทศอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านวัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีมาแต่โบราณและเคร่งครัด (มากๆ) ของชาวอาหรับ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าติดตามสำหรับเราๆ ท่านๆ ต่อไปครับ

HK
29 มิ.ย. 48

Tuesday, June 28, 2005

วันเกิด

(บทความนี้ไม่ได้ต้องการให้เศร้า แต่เขียนขึ้นจากความประทับใจ)





28 มิ.ย. ของทุกปีเป็นวันเกิดพ่อ ถ้าพ่อยังอยู่ พ่อคงมีอายุครบ 54 ปี แต่พ่อก็จากไปตั้งแต่พ่อเพิ่งมีอายุได้ 46 ปี ซึ่งนับว่าจากไปตั้งแต่อายุยังน้อยอยู่ ตอนที่พ่อจากพวกเราไป ผมเพิ่งอายุได้ 16 ปี ยังเรียนอยู่ Form 4 (เทียบได้กับมัธยมศึกษาปีที่สี่) ที่ประเทศ New Zealand ช่วงนั้นถือเป็นความสูญเสียและจุดหักเหครั้งใหญ่ในชีวิตของพวกเรา (แม่และผม) เลยก็ว่าได้
ผมไม่ค่อยได้ใช้เวลาอยู่กับพ่อมากเท่าที่ควร พ่อทำงานธนาคาร ซึ่งหมายความว่าพ่อจะต้องเดินทางไปทำงานตามจังหวัดต่างๆ อยู่เสมอ ประกอบกับผมใช้ชีวิตอยู่ในรั้ว ร.ร. ประจำตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้ผมได้พบพ่อเพียงวันหยุดสุดสัปดาห์แบบอาทิตย์เว้นอาทิตย์ หรือไม่ก็เป็นช่วงปิดเทอม ช่วงที่ผมเรียนชั้นประถมนั้น พ่อทำงานอยู่ที่เชียงใหม่ ทำให้พ่อกับผมไม่สามารถพบกันได้ทุกวันหยุด อย่างไรก็ดีทุกๆ วันหยุดที่พ่อว่าง พ่อก็จะพยายามมาพบผมให้ได้ และช่วงปิดเทอมผมก็จะไปอยู่กับพ่อที่เชียงใหม่

จนกระทั่งผมมีอายุได้11 ขวบพ่อย้ายจากเชียงใหม่กลับมาทำงานที่นครสวรรค์ซึ่งถือว่าเป็นบ้านของเรา (แม้ผมจะเกิดที่กรุงเทพฯ และอยู่ที่กรุงเทพฯ มาตั้งแต่อายุ 7 ขวบผมก็ไม่เคยนึกว่าตัวเองเป็นคนกรุงเทพฯ เลย) ช่วงเวลานี้ผมได้มีโอกาสใกล้ชิดกับพ่อมากขึ้นกว่าเดิม ทุกครั้งที่ผมกลับบ้าน เราจะใช้เวลาด้วยกัน โดยเฉพาะกับการเล่นกอล์ฟด้วยกัน เราจะเล่นกอล์ฟที่สนามกอล์ฟประจำจังหวัด หรือไม่หากมีเวลา เราก็จะไปเล่นกอล์ฟที่สนามแถวๆ ชลบุรีหรือหัวหิน ซึ่งนับเป็นการท่องเที่ยวไปในตัวด้วย


เราสามคน (พ่อแม่และผม) จะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดทุกครั้งที่มีโอกาส ซึ่งส่วนใหญ่จะขึ้นกับเวลาว่างของพ่อและวันหยุดของผม พ่อเป็นคนขับ แม่นั่งข้างๆ คอยเป็นเพื่อนคุยไปกับพ่อ ส่วนผมจะนั่งอยู่เบาะหลัง จะชะโงกหน้ามาคุยกับพ่อและแม่เป็นครั้งคราว หรือไม่ก็จะนั่งหลับไปกับเสียงเพลงเอลวิส เพรสลี่ย์ ที่คลอมาเบาๆ บนเครื่องเล่นเทป (รุ่นเก่า) ประจำรถเรา พ่อชอบเล่าเรื่องโน่นเรื่องนี่ให้ผมฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความหลังหรือเกร็ดความรู้ต่างๆ เรื่องที่พ่อเล่ามักจะแฝงด้วยข้อคิดต่างๆ ไว้ให้ผมได้ขบคิดและตระหนักอยู่เสมอ
ถ้าผมนึกถึงผู้ชายคนนึงที่สามารถเป็นแบบอย่างให้กับคนทั่วไปถึงความจริงจังในเรื่องงาน ผมจะนึกถึงพ่อเป็นคนแรก พ่อจะจริงจังกับงานมาก แต่พ่อมีข้อดีคือพ่อสามารถแยกเวลางานและเวลาครอบครัออกจากกัน เวลาที่พ่ออยู่กับแม่และผม พ่อไม่เคยเอาเรื่องงานเข้ามาเกี่ยวข้องเลย แม้พ่ออาจจะมีงานที่ต้องทำในยามค่ำคืนบ้างแต่มันก็เหมือนกับเวลาทำการบ้านที่เรามีครั้งที่เรายังเยาว์วัย ความจริงจังในเรื่องงานของพ่อเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่เพื่อนร่วมงานและลูกน้องใต้บังคับบัญชาของพ่อ คนที่ไม่เข้าใจถึงความตั้งใจจริงมักจะบ่นว่าพ่อดุ ซึ่งตรงนี้แม้ผมจะได้ยินมาบ้างแต่ผมก็ไม่ได้ติดใจเอาความแต่อย่างใด เหตุเพราะความคิดของคนเรานั้นแตกต่างกันออกไป ความจริงจังของพ่อสะท้อนออกมาในชีวิตนอกเวลางาน พ่อเป็นคนที่จริงจังและตั้งใจจริง รวมทั้งมุ่งมั่นในสิ่งที่พ่อกำลังกระทำอยู่ทุกอย่าง แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อย พฤติกรรมเหล่านี้ก็ได้ติดตัวผมมาเมื่อผมโตขึ้น


พ่อส่งผมไปเรียนที่ประเทศ New Zealand เมื่อตอนผมจบชั้นมัธยมปีที่สาม ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากให้ผมได้รู้จักสู้ชีวิต เหมือนตอนที่พ่อเคยออกจากบ้านที่ อ. หล่มสัก จ. เพชรบูรณ์ มาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ เมื่ออายุได้ 15 ปี และเหตุผลที่สำคัญอีกประการคือเรื่องภาษา เนื่องจากพ่อตระหนักถึงความสำคัญของภาษาอังกฤษว่าจะมีบทบาทที่สำคัญต่อชีวิตการทำงานของผมในอนาคต พ่อบอกผมซึ่งผมจำได้ไม่รู้ลืมเลยว่า การส่งผมไปเรียนครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการส่งไปเรียนธรรมดาแต่ให้ถือเสียว่าเป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างพ่อและผม ทุกบาททุกสตางค์ที่ส่งผม สักวันหนึ่งมันก็จะกลายเป็นของผม ดังนั้นขณะที่ผมเดินทางไปเรียน ถือได้ว่าเป็นการเอาเงินที่ผมจะได้รับนั้นมาลงทุน ผลกำไรที่ได้กลับมาคือความรู้ที่สามารถนำไปใช้ในอนาคตไม่ว่าจะเข้าทำงานในสาขาชาชีพใดก็ตาม ผลที่ได้รับจากคสอนของพ่อในวันนั้นคือ ตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ประเทศ New Zealand และสี่ปีที่มหาวิทยาลัยในเมืองไทย ผมเรียนอย่างลืมตาย


ระหว่างที่ผมเรียนอยู่ที่นั่น ผมพบพ่อเพียงแค่สองครั้ง คือ ช่วงที่พ่อ แม่ คุณตา และคุณยาย มาเยี่ยมผม ซึ่งผมได้ทำหน้าที่ต้อนรับอย่างดี และช่วงปิดเทอมที่ผมได้มีโอกาสกลับบ้าน การพูดคุยกับพ่อในสองครั้งหลังเปลี่ยนไปจากเก่าก่อนมาก เราได้ถกปัยหากันในประเด็นที่กว้างมากขึ้น โดยเกี่ยวข้องกับเหตุบ้านการเมือง รวมถึงกีฬาซึ่งเป็นสิ่งของโปรดของผู้ชาย (ทุกวันนี้ผมยังเชื่ออยู่เสมอว่าพ่อเชียร์สเปอร์สไม่ได้เชียร์แมนฯ ยูฯ) ผมมีความสุขที่ได้รู้จักพ่อมากขึ้นโดยไม่ทันได้ฉุกคิดเลยว่าการร่ำลากับพ่อที่สนามบินดอนเมืองก่อนที่จะกลับมาเรียนในปีที่สองที่ New Zealand จะเป็นภาพสุดท้ายที่ผมได้เห็นพ่อ
พ่อจากเราไปแล้วหลายปี แต่ทุกๆ วันเกิดพ่อผมมักจะนึกถึงพ่อ นึกถึงมากกว่าวันที่พ่อเสียเสียอีกเพราะมันเป็นวันที่เคยมีความสุข เคยได้อยู่ฉลองวันเกิดกันพร้อมหน้าพร้อมตากัน แม้ว่าพ่อจะไม่ใช่คนโด่งดัง มีชื่อเสียง ร่ำรวย หรืออะไรก็ตามแต่ แต่พ่อก็ได้ปลุกจิตสำนึกให้เด็กผู้ชายคนหนึ่งได้เติบโตขึ้นมาพร้อมกับความตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำอะไรคืนให้กลับสังคมต่อไป อย่างไรก้แล้วแต่ พ่อก็ยังเป็นวีรบุรุษของผมต่อไป

สุขสันต์วันเกิดครับพ่อ

HK
28 มิ.ย. 48

Monday, June 27, 2005

สาเหตุของการเริ่มการบันทึก

....นอกจากงานเขียนที่ผมทำเป็นประจำในเวลางานแล้ว ผมพูดได้เต็มปากเลยว่าผมเป็นคนที่เขียนน้อยกว่าอ่าน สาเหตุหลักก็คือ ผมชอบที่จะเป็นผู้รับมากกว่าเป็นผู้เสนอแนะ ซึ่งนี่อาจจะเป็นข้อเสียที่ติดตัวผมมาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์วัย หลายครั้งที่ผมมักจะเอาไอเดียที่คิดขึ้นมาได้ยัดใส่เก็บไว้ในลิ้นชักสมอง มากกว่าที่จะเอามันออกมาและแพร่ให้คนอื่นๆ ได้รับรู้ เพื่อที่ว่าเขาเหล่านั้นจะได้นำไปใส่ (หากมันมีประโยชน์เพียงพอ) ไปเก็บไว้ในลิ้นชักของเขาเอาบ้าง จวบจนกระทั่งวันนี้... 27 มิ.ย. 48 วันที่ผมตกหลุมพรางของเพื่อนคนหนึ่งให้มาเริ่มนั่งเขียนเรื่องราวต่างๆ ในบล็อกแห่งนี้ คำเชื้อเชิญที่เปรียบเสมือนสาส์นท้าให้มาประลองกันในบล็อกแห่งนี้ของท่อก ทำให้ผมตกหลุมพรางของเพื่อนคนนี้โดยไม่รู้ตัว รู้สึกอีกทีก็มานั่งพิมต๊อกๆ อยู่ในบล็อกแห่งนี้แล้ว

ผมเป็นคนที่เขียนอะไรไม่ค่อยเก่ง หลายคนบอกไม่ใช่ แต่ผมรู้สึกอย่างนั้นของผมจริงๆ นะ เอ๊า!!! ผมเคยพยายามหัดเขียนไดอารี่หลายครั้งมากสุดก็ได้เป็นเวลาสองเดือน ซึ่งถือว่าเป็นระยะเวลานานพอสมควรสำหรับผม และสาเหตุสั้นๆ ง่ายๆ ของการเขียนในครั้งนั้นคือความรักครับ แต่ครั้งนี้คงไม่ใช่ความรักเป็นแน่แท้เพราะผมคงไม่ไปตกหลุมรักเพื่อนที่คบกันมา 16 ปีเป็นแน่แท้ครับ แต่ผมคิดว่า การที่ผมพบเจอกับสิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมรอบตัวผมในปัจจุบันนี้ มันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าสนใจและขัดแย้งกับตัวผมในหลายๆ ทาง ดังนั้นการเข้ามาเขียนครั้งนี้มันก็เหมือนกับการสร้างพื้นที่ส่วนตัวให้กับผมเอง ให้ผมได้บันทึกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตหรือเรื่องราวที่ผมต้องการจะระบายมันออกมาในมุมมองของผมเองมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ (หากผมไม่ถูกสภาพแวดล้อมครอบงำไปเสียก่อนนะครับ

เรื่องที่ผมเขียนมาวันนี้อาจจะน่าเบื่อไปนิด คุณอาจจะมองเป็นเหมือนจดหมายแนะนำตัวของผมก็ได้ แต่ผมว่ามันก็ดูเป็นการเริ่มต้นกึ่งทางการที่ดูดีเหมือนกันนะ (คิดไปเองหรือเปล่า)

หากข้อเขียนของผมที่อาจจะหาสาระไม่ค่อยได้ทำให้ใครเพลิดเพลินได้บ้าง (ไอ้ความรู้นั่นผมไม่เคยคิดว่าจะมีใครมาหาจากข้อเขียนของผมอยู่แล้ว) ไม่ต้องมาขอบคุณผมหรอกครับ ไปขอบคุณท่อกมันเหอะครับ

ขอบคุณครับ
HK
27 June 05