ทิศทางของอิหร่านหลังการเลือกตั้ง
คงทราบกันดีแล้วว่าในที่สุดนาย Mahmoud Ahmadinejad อดีตนายกเทศมนตรีของกรุงเตหะราน ซึ่งเป็นพวกอนุรักษ์นิยมสุดโต่งก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของอิหร่าน เอาชนะคู่แข่งคนสำคัญอย่างนาย Akbar Hashemi Rafsanjani อดีตประธานาธิบดีอิหร่านช่วงระหว่างปี 2532 – 2540 (นานพอดู) และนักการเมืองมือเก๋าไปได้ ก่อนหน้านี้ผมได้แต่เฝ้ามองและติดตามข่าวคราวเกี่ยวกับอิหร่านอยู่ห่างๆ ด้วยเหตุผลสองประการคือ หนึ่ง อิหร่านเป็นประเทศที่มีแหล่งก๊าซธรรมชาติสำรองใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากรัสเซีย และ สอง อิหร่านมีปัญหาขัดแย้งกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง (รวมถึงพี่เบิ้มอย่างสหรัฐอเมริกาและกลุ่มสหภาพยุโรป) อยู่เป็นประจำ อย่างไรก็ดี ผมก็เริ่มที่จะลดระยะห่างของการเฝ้ามองและติดตามลงมาเรื่อยๆ เนื่องจากบทบาทของอิหร่านบนเวทีโลกเริ่มทวีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการที่อิหร่านมีปัญหาความขัดแย้งกับสหรัฐฯ เรื่องการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ ดังนั้นผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของอิหร่านในครั้งนี้จึงมีความสำคัญยิ่งทั้งในแง่ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ ในอนาคต
นอกเหนือจากประธานาธิบดีแล้ว อิหร่านมีนาย Ayatollah Seyed Ali Khamenei เป็นประมุขสูงสุด ซึ่งเป้นผู้นำทั้งด้านศาสนจักรและอาณาจักร ตำแหน่งนี้มีอำนาจถอดถอนประธานาธิบดีได้ แม้ว่าประธานาธิบดีคนนั้นจะได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชนก็ตาม ประธานาธิบดีคนก่อนหน้านี้มีชื่อว่านาย Mohamed Khatami ซึ่งได้พยายามปฏิรูปประเทศเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันให้เกิดระบอบประชาธิปไตยตามหลักศาสนาอิสลามขึ้นในอิหร่านจนเป็นผลสำเร็จ การปฏิรูปทางการเมือง สังคม และวิชาการ เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปทางเศรษฐกิจ การให้สิทธิและเสรีภาพแก่ประชาชนและสื่อมวลชนมากขึ้น เหล่านี้สำเร็จบ้างและไม่สำเร็จปนเปกันไป อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะกับประเทศตะวันตกนั้นไม่ค่อยจะสู้ดีนัก โดยมีประเด็นการผลิตอาวุธนิวเคลียร์เป็นประเด็นหลัก รวมถึงการที่สหรัฐฯ กล่าวหาว่าอิหร่านพยายามที่จะเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในประเทศของอิรักและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ดังนั้นผลการเลือกตั้งที่ออกมาว่านาย Ahmadinejad เป็นผู้ชนะการเลือกตั้งจึงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจในแวดวงนักการทูตและสื่อมวลชนต่างประเทศ เนื่องจากเขาไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ต่างจากนาย Rafsanjani ซึ่งเป็นที่รู้จักดีในหมู่บุคคลชั้นสูง รวมทั้งมีนโยบายการรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ที่ชัดเจน แต่สำหรับประชาชนทั่วไป ผลการเลือกตั้งดังกล่าวนับว่าโดนใจประชาชนอย่างเป็นที่สุด เนื่องจากภาพลักษณ์ของนาย Ahmadinejad ดูเป็นคนมือซื่อ ใจสะอาด และดูเป็นกันเอง ติดดินและประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย ขณะที่นาย Rafsanjani ประชาชนยังคงคลางแคลงใจว่าอาจมีผลประโยชน์ทางธุรกิจส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง
ประธานาธิบดีคนใหม่ของอิหร่านได้รับการขนานนามว่าเป็นพวกอนุรักษ์นิยม และเป็นคนหัวแข็งอยู่พอสมควร แค่ประเด็นเกี่ยวกับเรื่องการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ก็ทำให้พี่เบิ้มอย่างสหรัฐฯ และกลุ่มสหภาพยุโรปถึงกับออกอาการผวานิดๆ โดยนาย Ahmadinejad ได้กล่าวว่า อิหร่านมีสิทธิอันชอบธรรมในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ และหลายฝ่ายเชื่อว่า นโยบายการต่างประเทศระหว่างอิหร่านกับประเทศอื่นๆ จะยังคงคลุมเครือต่อไป ไม่เฉพาะแค่กับประเทศตะวันตกเท่านั้น แต่ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านอาจย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิมอีก และอาจส่งผลให้อิหร่านต้องถูกทิ้งอย่างโดดเดี่ยว
นอกเหนือจากประเด็นด้านการต่างประเทศแล้ว ประเด็นที่ผมให้ความสนใจอีกประเด็นคือผลการเลือกตั้ง เนื่องจากนาย Ahmadinejad ได้คะแนนเสียงไปถึงร้อยละ 62 ของคะแนนเสียงทั้งหมด ผิดจากที่หลายฝ่ายคาดการณ์เป็นอย่างมาก เนื่องจากในช่วงแรกของการหาเสียงนาย Ahmadinejad ไม่ได้อยู่ในสายตาของฝ่ายใดเลย แต่ด้วยการเข้าถึงประชาชน การสร้างความคุ้นเคยกับประชาชน ทำให้สามารถเข้าไปนั่งอยู่ในใจของประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งมีฐานะไม่ค่อยสู้ดีนัก ทำให้เห็นได้ชัดว่าเราไม่อาจมองข้ามพลังประชาชนได้เลยแม้แต่นิดเดียว ต่อให้คุณมีนโยบายระดับดีเลิศแค่ไหน แต่คุณไม่สามารถเข้าไปนั่งในใจของประชาชนได้ ก็จบ อย่างไรก็ดี เราก็ได้เห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นในหลายประเทศที่ประชาชนยึดในรูปลักษณ์ที่ติดดินเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกผู้นำประเทศมากกว่าที่จะพิจารณาถึงนโยบายเป็นหลักดังจะเห็นได้จากฟิลิปปินส์ (ความเห็นส่วนตัวผม ผมแอบนับการเลือกตั้ง George W. Bush สมัยแรกเข้าไปด้วย)
การเลือกตั้งประธานาธิบดีอิหร่านในครั้งนี้จึงเป็นที่น่าสนใจยิ่ง และน่าสนใจขึ้นไปอีกว่าต่อจากนี้ไปอิหร่านจะก้าวต่อไปอย่างไรในเวทีโลก
HK
30 มิ.ย. 48